เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา “ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)” ได้ให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำแผนบริหารจัดการระดับเงินกองทุนสำหรับระยะ 1-3 ปี โดยคำนึงถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตและศักยภาพของลูกหนี้ในการทำธุรกิจภายหลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 หลังจากสถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไป และยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ในระยะต่อไป
พร้อมทั้งขอให้ธนาคารพาณิชย์งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานในปี 2563 รวมถึงงดการซื้อหุ้นคืน เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์รักษาระดับเงินกองทุนให้เข้มแข็งและรองรับการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับแนวทางที่ธนาคารกลางหลายประเทศได้ดำเนินการแล้ว เพื่อรองรับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์โควิด-19
โดยเชื่อว่าการที่ ธปท.ดำเนินการเรื่องนี้อาจจะมองเห็นสัญญาณสำคัญบางอย่างของเศรษฐกิจ เนื่องจากในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาลได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์จนทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทั้งหมดต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากกับประชาชนและภาคธุรกิจส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินของรัฐ และนอนแบงก์ต่างๆ ได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ทุกกลุ่มในระยะที่ 1 และ 2
ซึ่งเป็นประเด็นน่าคิดว่า หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาของมาตรการในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ทุกกลุ่มแล้ว สถาบันการเงินทั้งหมดมีวิธีการตั้งรับกับสถานการณ์ที่จะตามมาหลังจากนั้นได้ดีเพียงใด เพราะความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่เกิดจากสถานการณ์พิเศษเรื่องโรคระบาดในขณะนี้ ที่ขณะนี้ได้ส่งผลทำให้ภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรมหลายส่วนได้รับผลกระทบ จนเกิดการเลิกจ้างงาน และปิดกิจการเป็นจำนวนมาก โดยมีการประเมินว่า “หนี้เหล่านี้จะกลายมาเป็นความเสี่ยงให้สถาบันการเงินในระยะต่อไปทันที”
จึงเชื่อว่า ธปท.อาจจะมองเห็นสัญญาณสำคัญของระบบการเงินไทยที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการช่วยเหลือดังกล่าว รวมถึงอาจมีความเป็นห่วงในเรื่องของปัญหา “หนี้เสีย” ที่อาจจะเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป เพราะจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความสามารถในการชำระหนี้ของทั้งรายย่อยและผู้ประกอบการที่จะตึงตัวมากขึ้น ภาระหนี้เก่าที่ได้รับความช่วยเหลือชั่วคราวตามมาตรการ และปัจจุบันก็ยังไม่มีอะไรการันตีว่าจะสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ กับภาระหนี้ใหม่ภายใต้เงื่อนไขผ่อนปรนที่กำลังเกิดขึ้นจากการช่วยเหลือในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อาจกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงกับระบบการเงินของไทยในอนาคตได้
อย่างไรก็ดี ธปท.ให้เหตุผลของการดำเนินการเรื่องข้างต้น ว่า การรักษาภูมิคุ้มกันให้กับระบบเศรษฐกิจและระบบสถาบันการเงินเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยกว่าการรักษาภูมิคุ้มกันให้กับสุขภาพของคนไทย โดยภูมิคุ้มกันที่สำคัญมากอันหนึ่งของธนาคารพาณิชย์คือระดับเงินกองทุน ที่เป็นกันชนรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว และความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ขณะที่การดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์และของลูกค้าก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม และมาตรการล๊อกดาวน์ ลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ก็อยู่ในช่วงที่ต้องได้รับการเยียวยา ปรับตัว หรือวางแผนธุรกิจใหม่ ธนาคารพาณิชย์จึงไม่สามารถประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทั้งลูกค้าและแผนธุรกิจของตัวเองได้อย่างชัดเจน ธปท.จึงขอให้ธนาคารพาณิชย์เร่งทบทวนแผนบริหารจัดการเงินกองทุนในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า โดยคำนึงถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก
“ธปท. ยอมรับว่าการขอให้ธนาคารพาณิชย์งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล และงดซื้อหุ้นคืน แม้ว่าจะกระทบต่อผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์ในช่วงสั้นๆ แต่จะเป็นผลดีสำหรับผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์ในระยะยาว เป็นผลดีต่อผู้ฝากเงิน และเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมด้วย เพราะจะช่วยให้ระบบสถาบันการเงินไทยเข้มแข็ง รักษาระดับเงินกองทุนให้อยู่ในระดับสูงได้ต่อเนื่อง มีกันชนที่จะรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก โดยเฉพาะถ้าเกิดการแพร่ระบาดโควิด 19 ระยะใหม่ๆ”.
ครองขวัญ รอดหมวน
June 22, 2020 at 12:06AM
https://ift.tt/2Yj7vYk
กระทบสั้น-ดีระยะยาว - ไทยโพสต์
https://ift.tt/3bS8L8L
Bagikan Berita Ini
0 Response to "กระทบสั้น-ดีระยะยาว - ไทยโพสต์"
Post a Comment