ราคาหุ้น CK ในช่วง 6 วันทำการล่าสุด พุ่งขึ้นมาราว 12% หลังเริ่มเห็นความชัดเจนของ Backlog มากขึ้น และทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง นักวิเคราะห์หลายสำนักมองคล้ายกันว่าจะฟื้นตัวแรง แต่ราคาที่เริ่มกลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกครั้งแบบนี้ จะไปต่อได้อีกแค่ไหน? ..ต้องติดตาม!
*** 6 วันทำการล่าสุดราคาพุ่งราว 12%
ราคาหุ้น บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK วานนี้ (27 ส.ค.63) ดีดขึ้นไปทำจุดสูงสุดของวันที่ราคา 18.80 บาท ก่อนปิดซื้อขายด้วยราคา 18.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือ 4.47% มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 303.51% จาก 5 วันทำการก่อนหน้า โดยราคาหุ้นปิดบวกตามดัชนีหุ้นไทย (SET Index)
นอกจากนี้ ราคาหุ้น CK ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ปรับตัวลงราว 23% จากความกังวลต่อสถานการณ์การเมือง อาจส่งผลต่อความล่าช้าในการประมูลงานภาครัฐ แต่ในช่วง 6 วันทำการล่าสุด ราคาหุ้น CK ปรับตัวขึ้นมาราว 12% และดูเหมือนว่ากำลังจะไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ ตามทิศทาง Backlog ที่เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น และผลประกอบการที่คาดว่าจะฟื้นตัวแรงในช่วงครึ่งปีหลัง
*** ผู้บริหารมอง CK พ้นจุดต่ำสุดแล้ว
CK เริ่มต้นปีนี้ได้ไม่สวยนัก เมื่อรายงานขาดทุนสุทธิในไตรมาส 1/63 จำนวน 112 ล้านบาท ก่อนไตรมาส 2/63 พลิกกลับมารายงานกำไรสุทธิจำนวน 64 ล้านบาท แต่กำไรสุทธิในช่วงดังกล่าว ยังลดลง 95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ผลประกอบการครึ่งปีแรกของ CK ยังขาดทุนร่วม 50 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.3 พันล้านบาท จากผลกระทบรายได้ลดลง 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรเงินลงทุนลดลง 95% เมื่อเทียบกับปีก่อน
สาเหตุหลัก เกิดจากผลประกอบการของบริษัทลูกอย่าง บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 และ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP ได้รับผลกระทบจากฤดูแล้ง
ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุว่า จากการประชุมนักวิเคราะห์รอบล่าสุด ผู้บริหาร CK มองว่า ผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วในช่วงไตรมาส 1/63 หลังจากไตรมาส 2/63 กลับมารายงานกำไรสุทธิ โดยมั่นใจว่าผลประกอบการครึ่งปีหลังจะดีขึ้นตามลำดับ
*** โค้ง 3 ฟื้นแรง รับอานิสงส์กำไรบริษัทลูก
บล.ทิสโก้ มองว่า ผลประกอบการของ CK จะฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 3/63 หลังจากการดำเนินงานของ BEM ดีขึ้น จากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และระดับน้ำในเขื่อนที่เพิ่มขึ้นของ CKP
สอดคล้องกับ บล.หยวนต้า ที่มองว่าช่วงไตรมาส 3/63 CK จะรายงานกำไรสุทธิสูงสุดของปี สาเหตุหลักจากผลประกอบการจากบริษัทลูกที่ฟื้นตัวจากกำไรของเงินลงทุน เช่น BEM ที่จำนวนผู้ใช้บริการทั้งทางด่วน และรถไฟฟ้าใต้ดินเริ่มกลับสู่ระดับปกติ หลังจากรัฐบาลคลายล็อกดาวน์ รวมถึงผลประกอบการของ CKP ที่คาดว่าจะดีขึ้นตามปริมาณการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น
เช่นเดียวกับ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ที่คาดว่าไตรมาส 3/63 CK จะฟื้นตัวอย่างโดดเด่น โดยได้แรงหนุนจากส่วนแบ่งกำไรเงินลงทุนใน BEM (31.3%) และ CKP (31.9%) เบื้องต้นประเมิน BEM จะมีกำไร 590 ล้านบาท จากตัวเลขใช้ทางด่วนที่ฟื้นตัวเกือบปกติ และ ผู้ใช้รถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่ CKP คาดจะมีกำไร 500 - 800 ล้านบาท จากโครงการโรงไฟฟ้าไซยะบุรี เดินเครื่องจ่ายไฟเต็มกำลังการผลิตครบทั้ง 7 เครื่อง รวม 1,220 MW และ โรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ซึ่งมีน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยจะทำให้ CK รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก BEM และ CKP ประมาณ 350 - 450 ล้านบาท
นอกจากนี้ CK ยังมีเงินปันผลจาก บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW เข้ามาอีกประมาณ 232 ล้านบาท ดังนั้นแนวโน้มไตรมาส 3/63 คาดว่า CK จะฟื้นตัวมีกำไรสุทธิราว 300 - 500 ล้านบาท
*** ธุรกิจก่อสร้างเหลืออะไรให้ลุ้นบ้าง?
บล.กรุงศรี ระบุว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติ 3 โครงการใหญ่แล้ว ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (บางขุนนนท์ - ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) ซึ่ง การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ประกาศ TOR ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา และประมูลในเดือน ธ.ค.นี้, โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน - ครูใน) และโครงการรถไฟฟ้ารางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โครงการเด่นชัย - เชียงของ และบ้านไผ่ - นครพนม
โดย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุว่าจากการประชุมนักวิเคราะห์รอบล่าสุด ผู้บริหาร CK มีความคาดหวังที่จะได้ 4 งานใหม่ ประกอบด้วย 1. โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก รวมเดินรถมูลค่าโครงการ 1.27 แสนล้านบาท ซึ่งจะยื่นซองประมูลในวันที่ 6 พ.ย.63 โดยกลุ่ม CK มีความได้เปรียบคู่แข่งในแง่ประสบการณ์การก่อสร้าง, การเดินรถ และการทำต้นทุนได้ถูกกว่าคู่แข่ง
2.รถไฟทางคู่เด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ มูลค่าโครงการ 7.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีความคืบหน้ามากที่สุด และเตรียมเปิดประมูลในปีนี้ โดยจะแบ่งเป็น 3 สัญญา ซึ่งส่งผลบวกต่อบริษัทรับเหมาขนาดใหญ่
3.โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ มูลค่าโครงการ 1 แสนล้านบาท ซึ่งคาดจะเปิดประมูลได้ในปลายปีนี้ หรือ ต้นปี 64
นอกจากนี้ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบางขนาดกำลังผลิต 1,410 MW มูลค่าโครงการประมาณ 1.35 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้ามากแล้ว คาดภายในปีนี้จะลงนามได้ และเริ่มงานก่อสร้างในปี 64
ขณะที่ บล.เคทีบี ระบุว่า Backlog ของ CK กำลังกลับเข้าสู่ช่วงขาขึ้น จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง ที่มีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก ซึ่งจะส่งผลให้ Backlog ของ CK กลับมา turnaround แตะระดับ 1.6 แสนล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้ จาก ณ สิ้นไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท
*** โบรกฯ ส่วนใหญ่แนะนำ"ซื้อ"
จากการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำ"ซื้อ" เนื่องจากมั่นใจว่าผลประกอบการครึ่งปีหลังของ CK จะเร่งตัวขึ้นจากส่วนแบ่งกำไรของบริษัทลูกฟื้นตัว รวมทั้งยังคาดว่า Backlog ของธุรกิจก่อสร้างจะกลับสู่ระดับแสนล้านบาทได้ในช่วงปลายปี 63 ซึ่งจะช่วยหนุนผลประกอบการในระยะถัดไป
บล. |
คำแนะนำ |
ราคาเหมาะสม (บ.) |
ดีบีเอส วิคเคอร์ส |
ซื้อ |
23.00 |
ทิสโก้ |
ซื้อ |
23.20 |
โนมูระ พัฒนสิน |
ซื้อ |
24.00 |
เมย์แบงก์ กิมเอ็ง |
ซื้อเก็งกำไร |
24.00 |
กรุงศรี |
ซื้อ |
26.00 |
หยวนต้า |
ทยอยซื้อ |
26.70 |
ราคาเฉลีย |
24.48 |
การเข้าลงทุนหุ้น CK ช่วงนี้ อาจเป็นจังหวะที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนก็เป็นได้ เนื่องจากราคาซื้อขายขณะนี้ยังเหลืออัพไซด์จากราคาเหมาะสมเฉลี่ยราว 30% ขณะเดียวกัน ราคาหุ้น CK ในช่วง 6 วันทำการก่อนหน้า ยังกลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกครั้ง ภายหลังเริ่มเห็นความชัดเจนของ Backlog มากขึ้น...
0 Response to "CK รถกำลังจะออก...โดดขึ้นตอนนี้ดีหรือไม่? - efinanceThai"
Post a Comment